การพัฒนาแก้วกำบังรังสีชนิดใหม่ที่มีลูเทเทียมเป็นส่วนผสม
หัวหน้าโครงการ กีรติ เกิดศิริ
บทคัดย่อ
โครงการวิจัยนี้เป็นโครงการวิจัยต่อเนื่องในปีแรก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแก้วกำบังรังสีที่มีลูเทเทียมเป็นส่วนผสม โดยโครงการวิจัยในปีแรกได้เตรียมแก้วลูเทเทียมที่มีสูตรเคมี คือ xLu2O3 : 20LiO2 : (80-x)B2O3 mol% เมื่อ x คือ ปริมาณความเข้มข้นของ Lu2O3 ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 0, 5, 10, 15, 20 และ 25 mol% โดยอาศัยเทคนิคการหลอมเหลวแล้วทำให้เย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงนำตัวอย่างแก้วที่เตรียมได้ไปศึกษาสมบัติทางกายภาพ สมบัติทางแสง และสมบัติการป้องกันรังสีแกมมาที่มีพลังงาน 662 keV ผลจากการศึกษาพบว่าความหนาแน่นและปริมาณเชิงโมล พบว่าปริมาณทั้งสองมีค่าเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณของ Lu2O3 ผลการศึกษาสเปกตรัมการดูดกลืนแสงของตัวอย่างแก้วในช่วงความยาวคลื่น 200 – 2100 นาโนเมตร ไม่พบพีคการดูดกลืนแสงเกิดขึ้นในแก้วตัวอย่างทั้งสามชิ้น จึงส่งผลให้ตัวอย่างแก้วใส และไม่มีสี และสำหรับการศึกษาสมบัติการป้องกันรังสีแกมมานั้น ผู้วิจัยจะศึกษาค่าสัมประสิทธิ์การลดทอนเชิงมวลของตัวอย่างแก้วโดยใช้เทคนิคการส่งผ่านรังสี และการคำนวณโดยใช้โปรแกรม WinXCom จากนั้นจะนำค่าจากทั้งสองวิธีมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งผลจาการศึกษาพบว่าค่าสัมประสิทธิ์การลดทอนเชิงมวลที่ได้จากการทดลองและจากการคำนวณมีการแปรค่าตามปริมาณความเข้มข้นของ Lu2O3 ที่เหมือนกัน กล่าวคือ เมื่อเพิ่มปริมาณของ Lu2O3 ที่เติมลงในตัวอย่างแก้วมากขึ้นจะทำให้ค่าสัมประสิทธิ์การลดทอนเชิงมวลสูงขึ้น ผู้วิจัยยังได้ศึกษาค่า HVL และค่า TVL ของแก้วตัวอย่างที่เตรียมได้ในงานวิจัย จากนั้นนำค่า HVL ไปเปรียบเทียบกับคอนกรีต 4 ชนิด ที่ถูกนำมาใช้งานด้านการกำบังรังสี ซึ่งผลจากการเปรียบเทียบค่า HVL นั้น จะพบว่าค่า HVL ของแก้วตัวอย่างที่มีปริมาณของ Lu2O3 15 mol% มีค่า HVL ต่ำกว่าค่าของคอนกรีตที่นำมาเปรียบเทียบ และจะมีค่า HVL ใกล้เคียงกับของแก้วตะกั่ว จากการศึกษาทั้งหมดที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นอาจสรุปได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถพัฒนาแก้วระบบลูเทเทียมลิเทียมบอเรต เพื่อนำไปประยุกต์ใช้เป็นแก้วกำบังรังสีแกมมาที่มีพลังงาน 662 keV ทดแทนการใช้แก้วตะกั่วได้